ก่อนจะมาเป็นแกงบวดฟักทอง

แกงบวดฟังทอง

       สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีขนมหวานของไทยมาฝากกันค่ะ ก่อนอื่นเราขออธิบายชื่อของบวดฟักทองก่อนนะ

หากเอ่ยชื่อ "แกงบวดฟักทอง" หรือ"ฟักทองแกงบวด" หรือบางคนอาจจะเรียกสั้นๆว่า "บวดฟักทอง" ก็แล้วแต่จะเรียกกัน แต่ชื่อที่ถูกต้องตามตำหรับโบราณนั้นเรียกว่า "แกงบวดฟักทอง" แกงบวดฟักทองเป็นขนมหวานไทยที่ทำได้ง่ายๆ ซึ่งแกงบวดนี้ หมายถึง ของหวานที่ใช้ผลไม้นำมาแกง เช่น เผือก มัน ฟักทอง หรือกล้วย ต้มกับน้ำตาลและกะทิน้ำตาล  รสชาติหวาน มัน ตัดด้วยเค็มนิดๆ หอมอร่อยเลยทีเดียว สูตรนี้เราเอามาจากคุณย่าค่ะ เพราะคุณชอบทำขนมหวาน เลยขอให้ท่านช่วยสอนก่อนจะนำมาบอกต่อ เราว่าตอนนี้เรามาลองทำกันเลยค่ะ

ส่วนผสม

1.ฟักทองสด

2.มะพร้าว

3.น้ำตาลทราย

4.เกลือป่น

5.น้ำปูนใส

วิธีทำ

1.เริ่มจากคั้นกะทิโดยแยกหัวกะทิกับหางกะทิไว้ก่อนค่ะ

2.จากนั้นเตรียมน้ำสะอาดใส่กะละมังไว้ ใส่น้ำปูนใสลงไป เตรียมไว้แช่ฟักทอง (แช่เพื่อเวลาต้ม ฟักทองจะได้ไม่เละ)

3.นำฟักทองมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ(ไม่ใหญ่มากหรือตามความต้องการ)

4.นำฟักทองที่หั่นไว้แช่ลงในน้ำปูนใส แช่ไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นนำมาล้างน้ำให้สะอาดประมาณ2น้ำ

 5.นำหางกะทิตั้งไฟ จากนั้นใส่ฟักทองลงไปเลย

6.ต้มฟักทองให้สุกใช้ไฟกลางๆก่อนนะค่ะ พอเดือดแล้วให้ลดไฟลงเหลือไฟอ่อนๆ

7.ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือ (สัดส่วนแล้วแต่ความชอบค่ะ ลองชิมดู) จากนั้นตามด้วยหัวกะทิ ใส่ไข่ไก่ลงไปสัก 2 ฟอง หรือตามความต้องการ

8.ต้มต่อด้วยไฟกลาง พอเดือดให้ลดไฟอ่อน ดูว่าเนื้อฟักทองสุกหรือยัง

9.เมื่อฟักทองสุกแล้วเนื้อจะนิ่มแต่ไม่เละ จากนั้นก็ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟได้เลยค่ะ

เสร็จแล้วค่ะแกงบวดฟักทอง เป็นไงค่ะน่าทานไหมเอ่ย?
ถึงจะดูบ้านๆ แต่รับรองอร่อยแน่นอนค่ะ^^

หมายเหตุ : สูตรนี้เราใช้น้ำตาลทรายแทนน้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลปึกนะ ซึ่งความจริงก็ไม่ค่อยนิยมใช้กันสักเท่าไรแต่ก็แทนกันได้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะหาน้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลปึกยากค่ะ

เทคนิคการเลือกฟักทองมาทำแกงบวด
ควรเลือกฟักทองแก่ๆ โดยสังเกตกันให้ดีๆ ฟักทองที่ดีต้องไม่มีแผลที่ผิวเลย  และผลก็มีขนาดพอเหมาะไม่ใหญ่เกินไป  ขนาดที่พอเหมาะคือฟักทองต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 3-5 ก.ก.  ที่สำคัญเวลาที่ซื้อควรซื้อทั้งลูก  เพราะถ้าซื้อแบบเป็นชิ้นฟักทองจะเสียรสชาติไม่อร่อยที่สำคัญยังเสียคุณค่าทางอาหารเร็วมากๆ  ถ้าฟักทองที่ซื้อมาทำอาหารทำไม่หมดยังเหลือเรายังต้องเอาฟักทองไปทำให้สุกก่อนแล้วนำไปเก็บในช่องแข็ง   เพื่อรักษารสชาติและคุณค่าของอาหาร  การเก็บในช่องแข็งยังเก็บไว้ได้นานอีกหลายวันด้วยนะคะ